1. กรดวิตามินเอ : มีคุณสมบัติในการละลายการอุดตันของต่อมไขมัน มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียสิว P.acne จึงป้องกันและทำให้สิวเสี้ยนหลุดออกได้ง่าย *ข้อควรระวังของกรดวิตามินเอ มีการระคายเคืองได้ง่าย อาจทำให้ผิวแห้ง ผิวลอก หน้าแดงได้ จึงควรทากรดวิตามินเอเฉพาะบริเวณจมูก หน้าผาก หรือคางที่มีสิวเสี้ยน แล้วทิ้งไว้ 5-10 นาที หรืออาจทิ้งไว้นานกว่านี้ได้ถ้าไม่มีอาการดังกล่าว 2. Chemical Peeling : เป็นแนวทางการรักษาอีกวิธีหนึ่งกรณีที่กรดวิตามินเอไม่สามารถทำให้หลุดได้หมด โดยใช้สารเคมีพิเศษ เช่น AHA,PHA เพื่อลอกผิวหน้า เปิดรูขุมขนหรือรูสิวเสี้ยน เพื่อง่ายต่อการกดออก หรือดึงออกด้วยครีมคีบสิวเสี้ยน 3. การทำ MPC หรือการลอกสิวเสี้ยน : ใช้แผ่นแปะจมูกร่วมกับสารลอกสิวเสี้ยน แปะที่จมูกและทิ้งไว้ระยะหนึ่ง ซึ่งมีคุณสมบัติในการติดแน่นจับกับสิวเสี้ยน แล้วนำไปวางบริเวณผิวที่มีปัญหาสิวเสี้ยน แล้วดึงออก สิวเสี้ยนก็จะหลุดติดออกมา 4. การใช้เครื่อง IPL (intense pulse light) : โดยอาศัยหลักการที่สิวเสี้ยน คือ กระจุกขนที่อัดแน่นบริเวณรูขุมขน ดังนั้นการ apply การกำจัดขนด้วยเครื่อง IPL จึงสามารถทำให้ขนที่คุดคู้นี้หลุดลอกออกได้ โดยเมื่อทำควบคู่กับการทำ Peeling และการทาครีมลอกสิวเสี้ยนที่ผสมวิตามินเอ และช่วยป้องกันการเกิดสิวเสี้ยนในบริเวณดังกล่าวด้วย ได้ผลดีมาก ไม่พบผลข้างเคียง และสามารถทำได้ทุกจุดของร่างกาย สิวเสี้ยน ไม่มีอันตรายแต่อย่างใด และไม่มีความสัมพันธ์กับโรคอื่น นอกจากเป็นปัญหาในด้านความสวยงาม "การแก้ไขต้องควบคู่กับการป้องกัน" เพราะรูขุมขนที่กว้าง ง่ายต่อการหมักหมมของสิ่งสกปรกและจุลินทรีย์ ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดรูขุมขนกว้าง และการรบกวนรูขุมขน เช่น การนวดหน้า การขัดหน้า การเช็ดถูหน้าแรงๆ